
(สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม) ภารณี สวัสดิรักษ์ นักวิชาการด้านผังเมืองชี้ร่างผังเมืองรวมระยองเอื้อประโยชน์นักลงทุน-เพิ่มความเหลื่อมล้ำ แนะรัฐควรตัดสินใจปรับลดและกำหนดอายุพื้นที่อุตสาหกรรมให้ชัดเจน พร้อมระบุร่างใหม่มีปัญหาทั่วประเทศโดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้
วันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกจากหลายพื้นที่ กว่า 50 คน เข้ายื่นหนังสือคัดค้านร่างผังเมืองรวมจังหวัดระยอง ต่อรองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง “นายโอฬาร ศักยโรจน์กุล” ด้วยเนื้อหาหลายประเด็นที่ชี้ให้เห็นว่าร่างฉบับนี้เอื้อพื้นที่ต่อการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการนำโฉนดที่ดินมาแสดงเพื่อกำหนดเป็นพื้นที่สีม่วง หรือพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมได้
โดย “นายบุญยิ่ง วงษ์ลิขิต” ตัวแทนกลุ่มคนบ้านค่ายรักษ์บ้านเกิด ได้ตั้งคำถามต่อรองอธิบดีว่าเหตุใดร่างผังจังหวัดระยองจึงกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมท่ามกลางพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม อีกทั้งกำหนดแนวเขตพื้นที่อุตสาหกรรม (สีม่วง) โดยใช้แนวเขตโฉนดที่ดินของเอกชนเพียงบางราย แต่กลับไม่สนใจโฉนดที่ดินของเกษตรกรจำนวนมากที่ทำกินในพื้นที่โดยรอบ
สอดคล้องกับเสียงของนักวิชาการด้านผังเมือง “นางภารณี สวัสดิรักษ์” เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม ตั้งข้อสังเกตว่าการกำหนดแนวเขตพื้นที่อุตสาหกรรมตามโฉนดที่ดินของผู้ประกอบการภาคเอกชนเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในการจัดทำผังเมือง และไม่สอดคล้องกับหลักวิชาการ
“มันคือการวางรากฐานของความไม่เป็นธรรมในกระบวนการวางผังเมือง ไม่ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นอย่างไร แต่เราเริ่มต้นฐานคิดที่ว่าถ้าเอกชนมีโฉนดแล้วไปประสานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) แล้วกำหนดพื้นที่สีม่วงให้ อีกหน่อยชาวบ้านแย่แน่เลย เพราะนายทุนสามารถกว้านซื้อพื้นที่และมาแสดงเจตจำนงกันหมด และจะเห็นว่าในรายงานไม่มีการอธิบายพื้นที่ของชาวประมง หรือพื้นที่การเกษตรอินทรีย์ในผังเลย แต่จะมีการอธิบายที่ดินของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมันเป็นการเหลื่อมล้ำในหลักคิด”
ทั้งนี้ยังมีอีกหนึ่งความกังวลจาก “นายอุดม ศิริภักดี” ตัวแทนกลุ่มรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านแลง แม้ว่าผังเมืองในพื้นที่ของตนจะกำหนดให้เป็นพื้นที่สีขาวทแยงเขียว หรือที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม แต่กลับมีข้อยกเว้นให้สามารถสร้างโรงงานได้บางประเภท อาทิ โรงไฟฟ้าที่ไม่ใช่ถ่านหิน โรงงานบำบัดน้ำเสีย หรือ โรงงานกำจัดมูลฝอยรวมของชุมชน ที่สำคัญเขตติดกันทางฝั่งตะวันตกยังเป็นพื้นที่สีชมพูประเภท ช.1 พื้นที่ชุมชนที่อนุญาตให้สร้างโรงงานที่ไม่มีความเสี่ยงสูงได้ จึงเกรงว่าอาจส่งผลกระทบมาถึงชุมชนของตนที่เป็นแหล่งต้นน้ำสำหรับบริโภค และพื้นที่เกษตรกรรม
“รอบ ๆ เป็นพื้นที่ ช.1 สีชมพู มันอนุญาตให้โรงงานบางประเภทสร้างได้ ซึ่งมันควรจะยกเลิก ถ้าประกาศไปตามนี้ชาวบ้านต้องได้รับผลกระทบ เพราะทิศทางลม ภูมิศาสตร์ มลพิษมันต้องข้ามยังพื้นที่ของเรา”
จากปัจจัยสำคัญข้างต้นทำให้นักวิชาการด้านผังเมืองเห็นว่ารัฐไม่ได้มีความจริงใจในการลดพื้นที่อุตสาหกรรมในจังหวัดระยองจริง แม้ที่ดินดังกล่าวจะไม่มีศักยภาพในการรองรับได้อีกต่อไปก็ตาม ทั้งนี้ก่อนที่ผังเมืองจะถูกประกาศใช้ก่อนสิ้นปีนี้ จึงอยากเห็นการปรับลดพื้นที่อุตสาหกรรมลง รวมถึงการกำหนดอายุวันสิ้นสุดของผังสีม่วงให้ชัดเจน
“เราต้องยอมรับความเป็นจริง ทรัพยากรที่ดินมันถูกใช้เกินความสมดุลไปแล้ว เพราะฉะนั้นในการวางผังตรงนี้ มันต้องอยู่บนหลักคิดที่ว่าทำอย่างไรจะค่อย ๆ คืนความสมดุลกลับมาให้เขามากที่สุด”
“การคืนความสมดุลคือการไม่ขยายตัวของอุตสาหกรรม แล้วผังเองยังต้องกล้าคิดด้วยว่าผังเมืองที่เป็นสีม่วงจะต้องใช้ไปได้ไม่ถึงกี่ปี เพราะว่าอุตสากรรมมันต้องมีอายุของมัน คือจะต้องคุย, ทำงานวิชาการ, บวกมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ ถ้ามาบตาพุดคุ้มทุนอีก 50 ปี แสดงว่าสีม่วงปีที่ 50 เราจะกลับมาเป็นเขียวแล้วนะ ไม่งั้นกลายเป็นว่าผังไม่บังคับย้อนหลัง เมื่อผังนี้หมดอายุไปอุตสาหกรรมอื่นก็กลับมาอีก”
นางภารณียังกล่าวเสริมด้วยว่าไม่เพียงแค่จังหวัดระยองเท่านั้นที่น่าเป็นห่วง แต่ลักษณะเช่นนี้ยังมีให้เห็นอีกหลายแห่ง ที่รุนแรงกว่าคือในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่กำหนดให้พื้นที่สีเขียวสามารถมีอุตสาหกรรมที่ใช้สารเคมีบางประเภทได้ หรือ อ.เทพา จังหวัดสงขลาที่แต่เดิมเป็นพื้นที่สีเขียวก็ถูกเสนอให้ถอดถอนเพื่อสามารถสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมในทุกพื้นที่
“ผังเมืองถูกครอบงำด้วยระบบทุน แทนที่จะเป็นหลักคิดการจัดพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม หลักคิดเอานโยบายเป็นตัวตั้ง และไม่เอาความคิดของการรองรับของพื้นที่ และหลักความเป็นธรรมมาใช้ ในที่สุดแล้วเราจะไม่ได้ผังเมืองที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการทำผัง เราจะได้ผังเมืองที่เป็นเจตนารมณ์ของผู้ลงทุนด้านเดียวด้วย อยากจะฟันธงอย่างนี้” นักผังเมืองกล่าวทิ้งท้าย
ขวัญชนก เดชเสน่ห์ สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม รายงาน